
กริดไฟฟ้า

อัปเกรดสำหรับเนื้อหาเพิ่มเติม
ถ้าบ้านหลายหลังรับไฟฟ้าจากกริดไฟฟ้าเดียวกัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าบ้านแต่ละหลังใช้ไฟไปเท่าไร?
การเปิดไฟน่ะมันง่ายนิดเดียว แค่กดสวิตช์ กระแสไฟฟ้าก็จะวิ่งไป โผล่ที่หลอดไฟให้เราแล้ว แต่กระแสไฟฟ้าพวกนี้มาจากไหนล่ะ? นี่คือโรงไฟฟ้า ถ่านหินจะถูกนำไปใช้ ในการผลิตไฟฟ้า เราจะนำถ่านหินไปเผาเพื่อให้ความร้อน กับน้ำในที่ต้ม จากนั้นมันจะกลายเป็นไอน้ำที่ทำให้ กังหันของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหมุนไป และผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาให้เราใช้ ที่นี่ พลังงานเคมีจะเปลี่ยนเป็นความร้อน จากนั้นจึงค่อยกลายเป็นพลังงานจลน์ แล้วกลายเป็นพลังงานไฟฟ้าในที่สุด กระแสไฟฟ้าจะถูกส่งออกจากโรงไฟฟ้า ผ่านทางสายไฟฟ้าที่เชื่อมมาถึง ที่บ้านของลีน่า กระแสไฟฟ้าจะถูกเปลี่ยน เป็นแสงสว่างอีกที เมื่อกำลังไฟฟ้าถูกส่งผ่านไปยัง ตัวนำไฟฟ้า จะมีการสูญเสียพลังงานบางส่วนไป ในรูปของความร้อนในอากาศ นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อแรงดันไฟฟ้ามีน้อยอยู่แล้ว แรงดันไฟฟ้าที่มากขึ้นจะส่งผลให้ ความสูญเสียในการส่งไฟฟ้าลดน้อยลง ดังนั้นก่อนที่จะส่งไฟฟ้าไปตามบ้าน จะมีการเพิ่ม แรงดันไฟฟ้าขึ้นหลายพันโวลต์ ที่จุดแปลงไฟฟ้า แต่แรงดันระดับนั้นมันสูงเกินกว่า บ้านคนทั่วไปจะใช้ได้ ดังนั้นจุดแปลงไฟอีกจุดหนึ่งจะคอย ทำหน้าที่ลดแรงดันไฟฟ้าที่มากเกินนั้น ให้กลับมามีค่าปกติอีกครั้ง เพื่อนบ้านลีน่า เขาก็ต่อไฟเข้าบ้าน ซึ่งเพื่อนบ้านก็ใช้ไฟฟ้าจากเสาไฟด้วย มิหนำซ้ำยังใช้ไฟมากด้วย แต่ไม่ว่าใครจะใช้ไฟฟ้าก็ต้องจ่ายเงินนะ และถ้าต้องการรู้ว่า ใครใช้ไฟฟ้าไปมากน้อยแค่ไหน ก็ต้อง ไปดูที่มิเตอร์ของทุกบ้าน จากนั้นโรงไฟฟ้าก็ออกใบ เรียกเก็บค่าไฟ และถ้าใครใช้ไฟเท่าไหร่ ก็จ่ายเงินไปเท่านั้น ที่โรงงานนี้ มีเครื่องจักรที่ต้องใช้แรงดันไฟฟ้า ในปริมาณที่สูงกว่าบ้านคนทั่วไป ดังนั้นจึงต้องมีหม้อแปลงไฟตั้งอยู่ ซึ่งมันจะปรับแรงดันไฟฟ้าให้สูงขึ้น เพื่อการใช้งานเชิงอุตสาหกรรม แค่นี้ธุรกิจก็ลื่นไหล และโรงงานก็สามารถ เดินหน้าในการผลิตสินค้าได้เต็มที่ เป็นอันว่าพลังงานจากโรงไฟฟ้าก็ถือว่า เพียงพอต่อการใช้งานในตอนกลางวันแล้ว แต่ตอนกลางคืนมีการใช้ไฟน้อย จึงมีกำลังไฟฟ้าเหลืออยู่เกินจำเป็น แล้วแบบนี้ทำไมเราไม่ใช้เวลากลางคืน ในการกักเก็บมันเอาไว้ เพื่อใช้ในวันต่อไปล่ะ`? จริงๆแล้วการกักตุนไฟฟ้าจำนวนมาก เอาไว้ใช้งาน ถือได้ว่าเป็นเรื่องยากและมีราคาสูงนะ ดังนั้นเราจึงควรผลิตไฟฟ้าขึ้นมา แล้วเอามันไปใช้งานเลยจะดีกว่า มีคนมากมายเข้ามาอาศัยอยู่ในจุดที่ ใกล้กับแหล่งจ่ายไฟ นั่นทำให้มีสายไฟฟ้าและหม้อแปลงไฟ มากขึ้น เชื่อมต่อกันเป็นพืดปกคุมทั่วเมือง โรงไฟฟ้าที่มีอยู่เดิมจึงไม่สามารถผลิต ไฟฟ้าให้เพียงพอต่อการใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นในครัวเรือน งานธุรกิจ หรือในระดับอุตสาหกรรม ดังนั้นบริษัทพลังงานอื่นๆ จึงเกิดขึ้น บริษัทพวกนั้นเลือกใช้ทรัพยากรอื่น มาใช้ในการผลิตไฟฟ้าแทน เช่น ลม ลมทำให้กังหันหมุนได้ และเมื่อกังหันนั้นหมุน มันจะเปลี่ยน พลังงานจลน์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ยิ่งในวันที่ลมแรง กังหันลมก็จะยิ่ง ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น และถ้าวันไหนไม่มีลม โรงไฟฟ้าถ่านหิน ก็จะเร่งเครื่องการผลิตได้มากขึ้น ด้วยวิธีที่เครือข่ายโรงไฟฟ้านำมาใช้ จะทำให้การผลิตไฟฟ้านั้นคงที่ โรงไฟฟ้าถ่านหินสามารถผลิตไฟฟ้า ด้วยต้นทุนต่ำและได้ปริมาณมาก แต่เมื่อถ่านหินถูกนำไปเผา มลพิษก็จะเกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศ ซึ่งมันส่งผลร้ายต่อธรรมชาติ ทั้งยังทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนไป ข้อดีของพลังงานลมก็คือ จะไม่มีมลพิษใดๆ ที่เกิดจากกังหันลมเลย ที่สำคัญคือลมจะไม่มีวันหมดไปด้วย มันเป็นทรัพยากรที่ไม่มีวันหมดไปจากโลก แต่ความสามารถของกังหันลมในการผลิตไฟฟ้า ก็ไม่อาจเทียบได้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินหรอก และต้นทุนในการก่อสร้างก็แพงซะด้วย ยิ่งไปกว่านั้น มันจะผลิตไฟฟ้าได้ ก็ต่อเมื่อมีลมพัดเท่านั้นแหละ ในอนาคตคงต้องคิดกันหลายเรื่องเลย ว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าแบบไหนถึงจะคุ้มที่สุด แล้วคราวหน้าถ้าจะเปิดไฟ ก็ลองคิดนะว่า ไฟฟ้าที่ถูกผลิตในโรงไฟฟ้าเครือข่ายต่างๆ มันมาอยู่ในหลอดไฟที่บ้านเราได้ยังไง