
ดวงจันทร์

อัปเกรดสำหรับเนื้อหาเพิ่มเติม
ดวงจันทร์โคจรรอบสิ่งใด?
ดวงจันทร์ ลูกบอลหินสีเทาที่เต็มไปด้วยฝุ่น และไร้ซึ่งคนอาศัย มันอาจไม่ใช่สถานที่ที่น่าสนใจนัก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีอิทธิพล ต่อชีวิตของเราทุกคนโลกอยู่ดี มันค่อนข้างเป็นประโยชน์ในการสะท้อนแสง จากดวงอาทิตย์ กลับมายังพื้นโลก และช่วยให้เรามองเห็นได้ในเวลากลางคืน รูปร่างของดวงจันทร์จะเปลี่ยนไป ในแต่ละคืน จากลูกบอลสีฟ้าจาง ๆ ไปจนถึงบอลลูกน้อยๆ สีเงิน ที่สุกสกาว ดวงจันทร์นั้นมีบทบาทสำคัญ ต่อชีวิตบนโลกเสมอ ในหลายภาษาทั่วโลกนั้นมักจะตั้งให้ ดวงจันทร์เป็นวันแรกของสัปดาห์ วันจันทร์ วันของพระจันทร์ และชื่อที่เราใช้เรียกเดือน ก็มีที่มาจากช่วงระยะของเวลา จากพระจันทร์เต็มดวงครั้งหนึ่ง ไปจนถึงครั้งต่อไป เมื่อดวงจันทร์ขึ้นใหม่ๆ มันจะปรากฏขึ้นราวกับว่า บางส่วนของมันนั้นหายไป แต่นั่นคือภาพลวงตา มันยังคงเป็นลูกบอลกลมๆ อยู่ แต่เราแค่มองไม่เห็นมันทั้งหมดเท่านั้น ดวงจันทร์นั้นโคจรรอบโลก ส่วนพระอาทิตย์ส่องแสงมายังดวงจันทร์ ครึ่งหนึ่งของดวงจันทร์จึงอาบแสงอาทิตย์ ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งกลับมืดมิด เมื่อดวงจันทร์อยู่ในตำแหน่งนี้ คนบนโลกจึงมองเห็นได้เพียงยอดเล็กๆ ของดวงจันทร์ครึ่งดวงที่ส่องแสงเท่านั้น และจะมองเห็นได้ทันทีหลังจากพระอาทิตย์ตก ดวงจันทร์นั้นจะปรากฏขึ้นต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ที่ไหนในโลกใบนี้ ในซีกโลกเหนือ ใกล้กับเส้นศูนย์สูตร หรือในซีกโลกใต้ เมื่อดวงจันทร์หมุนไปรอบโลก ครึ่งหนึ่งของดวงจันทร์ที่สว่าง จะปรากฏให้เห็นได้มากขึ้นจากบนโลก เมื่อดวงจันทร์ทำมุม 90 องศากับดวงอาทิตย์ เราจะเห็นดวงจันทร์แค่ครึ่งดวง แต่เมื่อดวงจันทร์อยู่ตรงข้ามกับ ดวงอาทิตย์ คนบนโลกก็จะเห็นว่ามันเป็น ดวงจันทร์ที่เต็มดวง แล้วมันก็จะหดตัวลงอีกครั้ง จนเรามองไม่เห็นมันไปอีกหนึ่งหรือสองคืน การโคจรรอบโลกหนึ่งรอบของดวงจันทร์ จะใช้เวลาอยู่ที่ 27 วันหรือราวๆนั้น แต่ทว่าโลกก็หมุนไปด้วยเช่นกัน ดวงจันทร์ก็ต้องใช้เวลาอีก 2 วัน เพื่อตามโลกให้ทัน และกลับมาเป็นดวงจันทร์ที่เต็มดวงอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ โลกและดวงจันทร์ ต่างก็เรียงตัวอยู่ในแนวเดียวกัน ดังนั้นเราจะมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงได้ ในทุกๆ 29.5 วัน แต่ก็มีบางโอกาสที่หายาก ซึ่งจะเกิดได้ปีละ 2 ครั้ง ดวงจันทร์ โลกและดวงอาทิตย์ จะเรียงตัวอยู่ในแนวเดียวกันเป๊ะ เงาของพวกมันจะทับซ้อนกันตามลำดับ เมื่อเงาของโลกเข้าบังดวงจันทร์ มันจะเกิดจันทรุปราคาขึ้น แต่เมื่อเงาเล็กๆ ของดวงจันทร์ เข้าทาบลงบนโลก ก็จะมีสุริยุปราคาเกิดขึ้น ที่จอภาพนี้ ดวงจันทร์กับโลกนั้นอยู่ใกล้กัน มากกว่าที่เป็นอยู่จริง ไม่อย่างนั้น พวกมันทั้งคู่อาจ จะอยู่ในจอนี้ไม่ได้ ระะยะห่างของดวงจันทร์กับโลก ได้แสดงอัตราส่วนจริงไว้แล้ว มันเป็นระยะราว 30 เท่า ของเส้นผ่านศูนย์กลางโลก นั่นทำให้เงาเล็กๆ ผ่านไปได้ ไม่เพียงแค่ดวงจันทร์อยู่ห่าง จากโลกเท่านั้น ขนาดของมันยังเล็กกว่ามากด้วย เส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์ อยู่ที่ 1 ใน 4 ของเส้นผ่านศูนย์กลางโลก และมวลของมันก็เท่ากับ 1 ใน 8 ของโลก และมวลที่ต่ำกว่าก็หมายถึง แรงโน้มถ่วงที่ลดลง แรงโน้มถ่วงบนพื้นผิวของดวงจันทร์ มีค่าเป็น 1 ใน 6 ของโลก มวลของฟิลลิปส์คือ 70 กิโลกรัม นี่ทำให้น้ำหนักบนโลกของเขา มีค่าเกือบ 700 นิวตัน ส่วนบนดวงจันทร์นั้นมวลของเขา ยังอยู่ที่ 70 กิโลกรัม แต่น้ำหนักของเขานั้นเท่ากับ 1 ใน 6 ของน้ำหนักที่ชั่งได้บนโลก คือ 114 นิวตัน อุณหภูมิสุดขั้วที่เกิดขึ้นบนดวงจันทร์ ถือเป็นเรื่องปกติ ดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศ และไม่มีน้ำ ที่จะช่วยเฉลี่ยให้อุณหภูมิ กลางวันและกลางคืนพอๆกัน การไม่มีชั้นบรรยากาศนั่นก็ หมายความว่าไม่มีลมด้วย ต้องพิจารณาให้ดีเลยล่ะหากว่า ใครมีแผนจะไปเที่ยวบนดวงจันทร์ นี่อาจถึงเวลากลับโลกแล้วก็ได้นะ แม้ที่นี่จะห่างจากดวงจันทร์ 1,000 กิโลเมตร มันก็ยังส่งผลกระทบต่อพวกเราอยู่ ระดับน้ำทะเลนั้นสูงขึ้นมากในตอนเช้า แต่ตอนนี้น้ำได้ลดลงมากแล้ว ความผันแปรระหว่างน้ำที่ลดลง และกระแสน้ำนี้ ล้วนมีผลมาจากแรงโน้มถ่วง ของดวงจันทร์ทั้งสิ้น เพราะน้ำเป็นของเหลว และเปลี่ยนรูปร่างได้ง่าย มันจึงเคลื่อนที่ไปรอบๆ พร้อมกับ แรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ ดวงจันทร์ทำให้เราได้สัมผัสกับ ปรากฎการณ์ต่างๆ ทั้งพระจันทร์เต็มดวง น้ำขึ้นน้ำลง แล้วก็เกิดจันทรุปราคา และสุริยุปราคาด้วย ไม่น่าแปลกใจที่สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อ ความลึกลับหรือเป็นนัยสำคัญในศาสนา มาตั้งแต่ครั้งอดีต และแม้ตอนนี้เราจะเข้าใจวิทยาศาสตร์ ที่อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยัง น่าประหลาดใจอยู่ดี