สหรัฐอเมริกาถือกำเนิด

ในอเมริกา รัฐอาณานิคมของอังกฤษที่ดิ้นรน ต่อสู้มานานหลายปี ก็ได้เป็นอิสระจากการยึดครองของอังกฤษ อาณาจักรบริเตนต้องยอมแพ้ และในเดือนกันยายนปี 1783 ตัวแทนของอังกฤษและอเมริกา ได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ ที่กรุงปารีส ประเทศเกิดใหม่ที่ได้เอกราชในตอนนี้ ก็ประกอบไปด้วย รัฐอาณานิคมทั้ง 13 ซึ่งก็ถูกเรียกว่า รัฐในเวลาต่อมา ประชาชนที่นี่จะปกครองกันเอง โดยไม่มีกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ แต่ทั้ง 13 รัฐที่ว่ากลับต่างกัน อย่างสิ้นเชิง ประชาชนทางตอนเหนือประกอบอาชีพค้าขาย ทำประมงและทำงานฝีมือ ส่วนรัฐที่อยู่ทางตอนกลางนั้น ผู้คนจะ ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และประชาชนทางตอนใต้ก็มีพื้นที่เพราะปลูก ฝ้ายและยาสูบขนาดใหญ่ มันไม่ง่ายที่จะทำให้รัฐอาณานิคมทั้งหมด ยอมรับในความต่างนี้ อีกทั้งรัฐสภาก็ยังจัดเก็บภาษี ได้ลำบากด้วย ชาวอเมริกันรู้ดีว่าพวกเขาต้องการบางสิ่ง ที่จะยึดเอาความต่างนี้ให้อยู่ร่วมกันได้ มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะต้องแยกตัวออกมา เป็นประเทศทั้ง 13 ประเทศอย่างแน่นอน พวกเขาต้องการฐานรากขั้นต้น นั่นคือรัฐธรรมนูญ และเพื่อเขียนสิ่งนี้ขึ้นมา คนกลุ่มหนึ่ง ได้รวมตัวกันที่ฟิลาเดลเฟีย ซึ่งต่อมาพวกเขาก็ถูกเรียกว่า บิดาผู้ก่อตั้ง พวกเขาเป็นปัญญาชนด้านการเมือง และทุกคนในที่นั้นก็มีส่วนร่วมใน การปฏิวัติอเมริกามาก่อน หลายคนในนั้น เช่น จอร์จ วอร์ชิงตัน จอห์น อดัมส์ โธมัส เจฟเฟอร์สัน และเจมส์ แมดดิสัน ก็ล้วนได้เป็นประธานาธิบดีใน ประเทศใหม่นี้ทั้งสิ้น บิดาผู้ก่อตั้งเหล่านี้ได้รับแรงจูงใจ มาจากนักเขียนชาวฝรั่งเศส และนักปรัชญาที่ชื่อ มงแต็สกีเยอ มงแต็สกีเยอนั้นได้เขียนหนังสือที่ชื่อว่า จิตวิญญาณแห่งกฎหมาย ที่ซึ่งเขาได้เปรียบเทียบการปกครอง ในระบอบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ทั้งระบอบกษัตริย์และระบอบเผด็จการ มงแต็สกีเยอเชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยนั้น ดีที่สุดเพราะทุกคนเท่าเทียมกัน เขาเชื่อว่าคนที่มีอำนาจในมือนั้นย่อม ถูกล่อลวงจนใช้มันไปในทางที่ผิด เหล่าบิดาผู้ก่อตั้งจึงทำตามที่ มงแต็สกีเยอแนะนำ เขานำระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจนั้นถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน อำนาจหนึ่งถูกใช้ไปในการบัญญัติกฎหมาย อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจหนึ่งนั้นถูกใช้ไปในด้านการจัดการ อำนาจบริหาร และอำนาจหนึ่งจะใช้ในการตัดสินพิพากษา ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย อำนาจตุลาการ อำนาจทั้งสามของรัฐบาลนั้น จะถูกแยกออกจากกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เกี่ยวตักตวง ผลประโยชน์จากอำนาจที่มี พวกเขาจะทำให้เกิดสมดุลและถ่วงดุล กันเองอยู่ตลอดเวลา มงแต็สกีเยอกล่าวว่าอำนาจ จะตรวจสอบกันเอง เหล่าบิดาผู้ก่อตั้งจึงลงความเห็นว่า อำนาจบริหารในสหรัฐอเมริกา จะเป็นของประธานาธิบดี ส่วนอำนาจนิติบัญญัตินั้นก็จะมี รัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจ ซึ่งก็คือสภาคองเกรส และสภาคองเกรสก็จะถูก แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร โดยสมาชิกนั้นจะถูกเลือกเข้าไปโดยประชาชน และรัฐต่างๆ อำนาจที่สามคือคณะตุลาการ ซึ่งถูกเรียกว่าศาลฎีกา หน้าที่ของฝ่ายตุลาการคือคอยตรวจตรา ไม่ให้ประธานาธิบดีและสภาคองเกรส ละเมิดรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เหล่าบิดาผู้ก่อตั้งยังได้กำหนดให้ รัฐทั้ง 13 นั้น ดูแลกันเองในหลายส่วนได้ เช่น โรงเรียน ศาลท้องถิ่น และโรงพัก แต่ทุกรัฐจะมีสิ่งที่เหมือนกัน นั่นคือสกุลเงิน บริการด้านไปรษณีย์ และนโยบายด้านการต่างประเทศ ประธานาธิบดียังคงรวมอยู่ในกลุ่ม หรือรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ยังคงจัดการเรื่องนโยบาย ด้านการต่างประเทศ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์ กับประเทศต่างๆ และทำชาติมั่นคงด้วยการสร้างกองทัพ ทั้งนี้ รัฐบาลกลางก็ยังเป็นผู้ตัดสินใจ ด้วยว่า รัฐใหม่ใดที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกของ สหรัฐอเมริกาได้ มันยังไม่ใช่ทุกรัฐหรอกที่ชอบรัฐธรรมนูญนี้ แต่ในปี 1789 ทุกรัฐต่างก็ยอมรับมัน และสหรัฐอเมริกาก็ได้กลายเป็นประเทศ ที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในโลก สหรัฐอเมริกานั้นเป็นประเทศขนาดใหญ่ ที่ถูกปกครองโดยผู้นำที่เป็น ที่นิยมเป็นประเทศแรก หรือสาธารณรัฐ และประธานาธิบดีคนแรกที่ประชาชนเลือก ก็คือผู้บัญชาการคณะปฏิวัติคนก่อน จอร์จ วอร์ชิงตัน ประเทศใหม่นี้ก็ต้องมีธงชาตินะ ธงของพวกเขาจึงประกอบด้วยดาว 13 ดวง และแถบ 13 แถบซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละรัฐ ต่อมาดาวบนธงชาติก็เพิ่มขึ้นตามรัฐใหม่ ที่เพิ่มเข้ามา แต่แถบทั้ง 13 แถบนั้นยังคงอยู่ด้วยกัน อเมริกาได้กลายเป็นต้นแบบการปกครอง ที่ประชาชนชาติอื่นนั้นอยากจะเอาอย่างบ้าง ในปี 1789 ซึ่งเป็นมีเดียวกับที่อำนาจรัฐธรรมนูญ ของอเมริกาได้ถูกประกาศใช้ การปฏิวัติหนึ่งก็ได้เกิดขึ้นในประเทศ ที่ทรงอำนาจที่สุดในยุโรป ฝรั่งเศสนั่นเอง ซึ่งการปฏิวัตินั้นได้รับแรงจูงใจมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกานั่นเอง