
สงครามโลกครั้งที่ 1 : แนวรบด้านตะวันออก

อัปเกรดสำหรับเนื้อหาเพิ่มเติม
True or false? By the time of the break out of World War 1, Russia had the world's most modern and powerful army.
สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังลุกลาม เยอรมันถูกบีบโดยศัตรูที่ขนาบข้าง จากทางแนวรบฝั่งตะวันตก และแนวรบฝั่งทิศตะวันออก ในฝั่งตะวันตก เยอรมันต่อสู้กับฝรั่งเศส อังกฤษ และในที่สุดก็มีสหรัฐอเมริกาด้วย แนวรบด้านตะวันออกนั้น ชาวเยอรมัน พร้อมด้วยเหล่าพันธมิตร ออสเตรีย-ฮังการี ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่ที่สุดในโลก คือรัสเซีย กองทัพด้านตะวันออกเคลื่อนทัพ ไปในบริเวณอันกว้างใหญ่ และทำการรบทั้งในศึกเล็ก และศึกใหญ่ เช่นเดียวกับแนวรบด้านตะวันตก มีสนามเพลาะมากมายอยู่ที่นี่ แต่พื้นที่ของการรบนั้นก็ไม่ได้ตายตัว เหมือนกับที่มันเกิดขึ้นในยุโรปตะวันตก กองทัพเยอรมันส่วนใหญ่ยังติดพัน การรบอยู่ในฝรั่งเศส ดังนั้น ออสเตรีย - ฮังการี จึงส่งทหารเข้าไปโจมตีเซอเบีย แต่ออสเตรีย-ฮังการีก็ต้องระวังตัว พวกเขาจะต้องพร้อมรับการโจมตีจากอิตาลี เพราะเพื่อนเก่าที่เคยเป็นพันธมิตรกันมา ได้แปรพักตร์ และเข้าร่วมรบกับอังกฤษและฝรั่งเศสไปแล้ว ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม รัสเซีย ครอบครองดินแดนใหญ่ๆ อยู่หลายแห่ง มันจึงค่อนข้างง่ายเพราะศัตรูของพวกเขา ยังคงติดพันการรบอยู่ที่อื่น และกองทัพรัสเซียก็มีขนาดใหญ่ด้วย ความใหญ่ของทัพรัสเซียนั้นเป็น สิ่งที่ศัตรูไม่ควรมีโอกาสต่อสู้ ทว่าบัดนี้ สงครามดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยน ทหารเยอรมันก้าวไปเหยียบรัสเซียถึงถิ่น โดยมีกองทัพออสเตรีย-ฮังการีตามมาสมทบ มันเป็นไปได้อย่างไร กองทัพ 2 ฝ่ายที่มีขนาดเล็กกว่า แถมยังกำลังรบอยู่อีกข้างหนึ่ง ยังยืนหยัดที่จะเอาชนะ ชาติมหาอำนาจอย่างรัสเซีย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเทียบกับเหล่าศัตรูแล้ว รัสเซียเป็นประเทศที่ยากจนและล้าหลัง อาวุธและเครื่องใช้ที่ทหารรัสเซียมี จึงทั้งเก่าและบิดเบี้ยว ทางรถไฟก็ไม่ได้รับการพัฒนา และแทบจะไม่มีรถยนต์หรือรถบรรทุกใดๆเลย ทหารรัสเซียต้องอาศัยการเดินเท้าอยู่บ่อยๆ เพื่อไปยังที่ต่างๆ ในประเทศ ที่กว้างใหญ่นี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไปอย่างช้าๆ เมื่อไปถึงที่นั่น และได้เผชิญหน้า กับศัตรูของพวกเขา ทหารรัสเซียก็หมดแรงแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทหารรัสเซียอ่อนแอ คือการขาดอาหาร มีหลายคนที่เคยทำงานในไร่ ถูกดึงตัวเข้ามาร่วมกับกองทัพ ดังนั้นจึงไม่มีชาวนาไว้ปลูกข้าว และเมื่อไม่มีรถบรรทุก อาหารใดๆ ที่ผลิตขึ้นมาได้ ก็ไม่สามารถไปถึงมือทหาร ที่ประจำการอยู่ที่แนวรบ ข้อเสียเปรียบอีกข้อหนึ่งก็คือ รัสเซียเป็นเผด็จการที่โหดเหี้ยม นี่คือกษัตริย์รัสเซีย -พระเจ้าซาร์- เป็นผู้ปกครองประเทศ พร้อมกับขุนนาง เหล่าขุนนางนั้นได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นข้าราชการโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถ หรือไม่มีก็ตาม ขุนนางในราชวงศ์ของรัสเซีย จะเรียนรู้ตั้งแต่เด็กแล้วว่า ว่าคนธรรมดานั้นไม่มีค่า และหน้าที่ของคนจนก็คือการเชื่อฟัง ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อฟังก็จะถูกลงโทษ อย่างรุนแรง บ่อยครั้งที่พวกขุนนางไม่สนใจว่า ทหารของพวกเขาจะเป็นหรือตาย บางครั้งพวกเขาก็เอาอาหาร และเครื่องใช้ของทหารไปขาย หรือสั่งให้ทหารไปเผชิญความตายในการรบ ที่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆเลย เพราะเหตุที่ข้าราชการปฏิบัติต่อพวกทหาร แบบนี้ ทหารหลายคนจึงเลือกจะหนีมากกว่า เข้าไปสู้ ในปี 1917 มีแรงงานชาวรัสเซีย และทหารได้ก่อกบฏขึ้น พวกเขาต้องการยุติสงคราม และภาวะขาดแคลนอาหาร พวกเขาต้องการประชาธิปไตย การปฏิวัติครั้งนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่า การปฏิวัติรัสเซีย พระเจ้าซาร์ถูกโค่นบัลลังก์ ชาวรัสเซียหลายคนที่ต่อต้าน ล้วนต้องการประชาธิปไตย แต่สังคมใหม่ที่จะพัฒนาหลังการปฏิวัติ ซึ่งก็คือ"สหภาพโซเวียต" ยังคงอยู่ไกลจาก คำว่าประชาธิปไตยมาก อย่างน้อยคนที่อยากให้สงครามในรัสเซีย สิ้นสุดก็สมความปรารถนา รัสเซียขอยอมแพ้ และเยอรมันได้รับชัยชนะในสงคราม ในแนวรบด้านตะวันออก ดังนั้น แม้ว่ารัสเซียจะมี กองทัพที่ใหญ่เช่นนี้ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเยอรมนี และออสเตรีย-ฮังการี พวกเยอรมันพอใจมาก-- ตอนนี้พวกเขา จึงเผ่นกลับไปที่แนวรบทางตะวันตก และจดจ่อกับการทำสงครามกับฝรั่งเศส ได้เต็มที่