
ยุคเรืองอำนาจของพรรคนาซี : ทำไมฮิตเลอร์ถึงโด่งดัง

อัปเกรดสำหรับเนื้อหาเพิ่มเติม
Hitler blamed Germany's economic crisis on __________.
ฮิตเลอร์ได้กุมอำนาจในเยอรมนี อย่างเบ็ดเสร็จ เขาถูกเรียกว่า “ฟือเรอร์ หรือ “ผู้นำ” ตอนนี้เยอรมนีมีพรรคการเมืองแค่ พรรคเดียวก็คือพรรคนาซี ชาวเยอรมันจำนวนมากต่างก็กลัวฮิตเลอร์ และพรรคนาซี ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและชาวยิว ต้องเผชิญความทุกข์แทบทุกวัน จากการคุกคาม การล่วงละเมิด และความรุนแรง มีหลายคนถูกฆาตกรรม ทว่าอดอล์ฟ ฮิตเลอร์กลับได้รับความนิยม เขาได้รับความรัก จากชาวเยอรมันนับล้าน ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ เป็นไปได้อย่างไรที่ในเวลาไม่กี่ปี ที่ฮิตเลอร์และพรรคนาซี ทำให้คนเยอรมันเทคะแนนเสียง ให้พวกเขาขึ้นมามีอำนาจได้ ไม่มีใครรู้เลยหรือว่าฮิตเลอร์ทำอะไรไว้ กับพรรคฝ่ายตรงข้ามและชาวยิวบ้าง พวกเขาไม่เห็นกันหรือไงว่า พวกนาซีรุนแรงแค่ไหน ทำไมชาวเยอรมันมากมาย ถึงเทคะแนนให้พวกเขา ในปี 1929 หลายประเทศได้ประสบปัญหา วิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนี เยอรมนีถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ก่อสงครามครั้งใหญ่ และยังคงต้องจ่ายค่าเสียหาย จากสงคราม ให้กับประเทศที่ชนะ เยอรมนียากจนลง ชาวเยอรมันจำนวนมากต่างผิดหวัง อย่างยิ่งจากการแพ้สงคราม และรู้สึกว่าโลกนี้ปฏิบัติ ต่อพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม มีการว่างงานเพิ่มขึ้น หลายคนสูญเสียทุกสิ่ง ที่พวกเขาเป็นเจ้าของ มีหลายพันชีวิตที่กำลังหิวโหย ความไม่พอใจต่อนักการเมืองของ ชาวเยอรมันเริ่มพอกพูนขึ้น เพราะพวกเขาไม่สามารถ แก้ปัญหาอะไรได้เลย ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบนท้องถนน กลายเป็นเรื่องธรรมดา เยอรมนีกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ นี่จึงเป็นโอกาสของฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์เป็นนักพูดที่ฉลาด เขาสัญญากับชาวเยอรมันว่า ถ้าพรรคนาซีเข้ามามีอำนาจ ผู้คนจะได้งานและเงิน เยอรมนีจะหยุดจ่ายค่าเสียหาย จากสงคราม และจะมีการสร้างกองทัพขึ้นมาใหม่ ภายใต้อำนาจของฮิตเลอร์ เยอรมนีจะยิ่งใหญ่และกลับมา ทรงพลังอีกครั้ง ฮิตเลอร์โทษว่าความขลาดของนักการเมือง และพวกยิวเป็นต้นเหตุของวิกฤติที่เกิดขึ้น ทั้งยังกล่าวว่าพวกยิวและนักการเมือง จะต้องชดใช้ในอาชญากรรมที่เกิดนี้ นั่นทำให้ชาวเยอรมันรับฟังเขา แม้ว่าจะมีชาวเยอรมันจำนวนมาก ไม่เชื่อถือฮิตเลอร์ แต่พรรคนาซีก็มีความ น่าเชื่อถือมาก พวกเขาใช้ความรุนแรงกับคู่ต่อสู้ ชาวเยอรมันจำนวนมากไม่กล้าพูดในสิ่งที่คิด พรรคตรงข้ามของพรรคนาซีเองก็ เอาแต่เงียบกริบ ตอนนี้อำนาจอยู่ที่ฮิตเลอร์แล้ว พวกนาซีทำงานกันอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้ พวกเขาเริ่มสร้างกองกำลัง ติดอาวุธของเยอรมัน ในข้อตกลง ของสนธิสัญญาแวร์ซาย เยอรมนีจะไม่ได้รับอนุญาต ให้ผลิตอาวุธ ทว่าฮิตเลอร์กลับไม่สนใจ ภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีจึงเริ่มผลิต อาวุธจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นรถถัง เรือดำน้ำ และเครื่องบินรบ สิ่งนี้ทำให้เกิดตำแหน่งงานใหม่ๆ ขึ้นมาหลายพันงาน นอกจากนี้ เด็กหนุ่มชาวเยอรมัน ที่อายุมากกว่า 18 ปีทุกคน จะต้องมีหน้าที่ในกองทัพ คือต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ชายหนุ่มหลายคนต้องออกจากงาน เพื่อไปเป็นทหาร พวกนาซีสร้างถนนหลวงหรือ ออโต้บาห์น เอาไว้ทั่วเยอรมนึ นั่นยิ่งทำให้คนเยอรมัน ต้องทำงานมากขึ้น คนที่ว่างงานจะถูกบังคับ ให้ทำงานเหล่านี้ให้รัฐ และถ้าพวกเขาไม่ทำ ก็จะถูกจัดว่าเป็นคนขี้เกียจ พวกสันหลังยาว และพวกสันหลังยาว ก็จะถูกมองว่าเป็นศัตรูของรัฐ และจะถูกส่งไปยังค่ายกักกัน ที่สร้างขึ้นใหม่เป็นการลงโทษ พวกเขาจะถูกบังคับให้ทำงาน พวกนาซีได้เขียนกฎหมาย ที่ระบุไว้ว่าชาวยิวเยอรมัน ไม่ใช่พลเมืองเยอรมันอีกต่อไป นี่คือกฎหมายนูเรมเบิร์ก ชาวยิวจำนวนหลายหมื่นคน ต้องตกงาน ชาวเยอรมันซึ่งถือเป็นชาวอารยัน ได้เข้ามาทำหน้าที่นั้นแทน ในเวลาเพียง 2 ปี พรรคนาซีก็ได้ลดการว่างงาน ลงไปครึ่งหนึ่ง ชาวเยอรมันหลายๆคนเริ่มเชื่อฮิตเลอร์ ในเรื่องสัญญาอนาคตที่เคยพูดไว้ งาน อาหารบนโต๊ะ หรือแม้แต่การพักผ่อน หย่อนใจที่รัฐจัดไว้ให้ กับผู้ทำงาน พวกเขาจะไม่ต้องจ่ายเงิน เข้าไปดูหนัง ไปพิพิธภัณฑ์ และ เมื่อเข้าไปชมแข่งกีฬา ผู้ทำงานยังจะได้เที่ยวในช่วงวันหยุด ในราคาแสนถูก เช่น ไปเที่ยวอิตาลี 2 สัปดาห์ หรือล่องเรือไปยังหมู่เกาะคานารี นั่นส่งผลให้พรรคนาซี ยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และในเวลาเดียวกันนั้น ทั้งชาวยิว ชาวโรมา คนที่ชื่นชอบเพศเดียวกัน หรือผู้ที่มีความพิการด้านต่างๆ รวมถึงคู่แข่งทางการเมือง ที่เหลืออยู่ไม่มาก ล้วนได้รับการปฏิบัติที่เลวร้ายขึ้น แผ่นดินเยอรมนีภายใต้การนำของฮิตเลอร์ ไม่มีที่ยืนให้พวกเขา แต่ชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ก็เลือกที่จะมองในแง่อื่น ความลำบากถูกบรรเทา จนความเป็นอยู่ดีขึ้น มีงานให้ทำ และใช้ชีวิต ตามกฎหมายและกฎระเบียบ ล้วนมีค่าเกินกว่าจะกังวล เรื่องสิทธิมนุษยชนของตัวเอง