
ปฏิกิริยาเคมี : คาร์บอนไดออกไซต์และคาร์บอนมอนนอกไซต์

อัปเกรดสำหรับเนื้อหาเพิ่มเติม
What does the word "mon (o)" in "carbon monoxide" show?
ปฏิกิริยาเคมีส่วนใหญ่นั้นเป็นสิ่ง ที่สามารถคาดการณ์ได้ ถ้าเรารู้ว่าสารตั้งต้นที่มีอยู่นั้น คือสารอะไร และรู้ว่าจะมีสารอะไรเกิดขึ้นในเวลาต่อมา เพราะทุกครั้งที่สารพวกนั้นทำปฏิกิริยากัน ผลลัพธ์ที่เราได้จะไม่เปลี่ยนแปลง แต่บางครั้งที่ตัวทำปฏิกิริยาเป็นสารเดิม สารผลิตภัณฑ์ที่เราได้ก็อาจไม่เหมือนเดิม ยังมีปฏิกิริยาอีกหลายแบบ ที่อุณหภูมิสามารถส่งผล ต่อสารใหม่ที่เกิดขึ้นมาได้ ทั้งยังมีปฏิกิริยาอื่นๆที่ให้ผลแตกต่าง หากเราใช้ปริมาณตัวทำปฏิกิริยา ตัวใดตัวหนึ่งมากขึ้นหรือน้อยกว่าเดิม เช่นในกรณีตัวอย่างของแกรไฟต์ และออกซิเจน โดยทั่วไป ถ้าหากว่ามีออกซิเจน อยู่ในปริมาณมาก คาร์บอนและออกซิเจนก็จะสร้าง คาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นมา เมื่อแกรไฟต์ถูกเผาไหม้ และหากมีปริมาณออกซิเจนน้อยลง เหมือนตอนที่เกิดปฏิกิริยาขึ้น ในพื้นที่ทีมีอากาศอยู่อย่างจำกัด ปฏิกิริยาแบบอื่นก็จะเกิดขึ้นตามมา พร้อมกับการเกิดสารผลิตภัณฑ์อีกตัวด้วย ในสารตั้งต้นตัวนี้ แต่ละอะตอมของคาร์บอนจะถูกยึดไว้กับอะตอม ของออกซิเจนเพียงตัวเดียว แทนที่จะเป็น 2 คาร์บอนไดออกไซด์จะไม่เกิดขึ้นที่นี่ แต่กลายว่ามีคาร์บอนมอนอกไซด์เกิดขึ้นแทน ซึ่งคำว่าโมโนนั้นแปลว่า 1 ชื่อของสารประกอบนั้นจะถูก รวบเข้ามาให้สั้นลง จากคำว่าโมโนกับออกไซด์ กลายเป็นคำว่า มอนอกไซด์ ทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนมอนออกไซด์ เป็นชื่อที่เกือบจะเหมือนกันมาก และสารประกอบทั้ง 2 ตัวก็เกิดขึ้นมา จากคาร์บอนและออกซิเจนเหมือนกัน แต่มันมีจุดต่างที่สำคัญระหว่าง สารประกอบทั้ง 2 ตัวนี้อยู่นะ คาร์บอนไดออกไซด์นั้นจะพบได้ ตามธรรมชาติในชั้นบรรยากาศ ปริมาณที่พบนั้นไม่มากนัก เพราะ มันมีเพียงแค่ 0.0004 % เท่านั้น แต่มันมีความสำคัญกับพืชมากเหลือเกิน อากาศที่เราหายใจออกมาก็มีปริมาณ มากกว่านั้นเป็นร้อยเท่าตัวนะ คือมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ราว 4 % ถ้าที่ใดก็ตามมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ใน ปริมาณมาก อากาศที่นั่นก็จะแย่ไปเลย แต่มันก็ไม่ได้เป็นอันตรายหรอก ถ้าจะหายใจเอามันเข้าไปน่ะ ทว่าสำหรับคาร์บอนมอนออกไซด์ ในอีกแง่หนึ่ง กลับเป็นพิษกับมนุษย์และสัตว์ ถ้าอากาศที่เราหายใจเข้าไป แม้จะมีปริมาณของคาร์บอนมอนออกไซด์เพียง แค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ นั่นก็เพียงพอที่จะฆ่าเราให้ตายได้ ภายในไม่กี่นาทีแน่นอน การนำแกรไฟต์บริสุทธิ์ไปเผาไฟนั้นไม่ใช่ ทางเดียวที่จะสร้างคาร์บอนมอนออกไซด์ได้ แต่การนำสารตั้งต้นอื่นที่มีคาร์บอน เป็นส่วนประกอบไปเผาไฟ อย่างเช่น พวกน้ำมันเบนซิน น้ำมันพืช พลาสติก หรือว่าไม้ ก็สามารถทำให้มีคาร์บอนมอนอกไซด์ เกิดขึ้นมาได้ ซึ่งมันถูกเรียกว่า การเผาไหม้แบบไม่สมบูรณ์ และมันจะเกิดขึ้นตอนที่ระดับออกซิเจน มีปริมาณน้อยเกินไป ในบ้านที่กำลังถูกไฟไหม้ คาร์บอนมอนอกไซด์ที่เกิดขึ้นในนั้น ถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง มันจะทำให้คนที่ติดอยู่ในบ้านหมดสติ ก่อนที่จะหนีออกมาได้ด้วยซ้ำ หรือพวกเขาอาจจะตายไป ทั้งที่ยังนอนหลับอยู่ โดยไม่ทันได้รู้ว่าเกิดไฟไหม้ขึ้น ในเหตุไฟไหม้นั้นมีความเสี่ยงสูง ในการเสียชีวิต จากคาร์บอนมอนอกไซด์มากกว่าจากเปลวเพลิง เสียอีก แต่เรายังโชคดีที่มีเครื่องตรวจจับ ควันไฟอยู่ มันกลายเป็นเรื่องง่ายไปเลยเมื่อพูดถึง สารประกอบคาร์บอนที่เกิดการเผาไหม้ เราจะได้คาร์บอนไดออกไซด์ หรือไม่ก็ คาร์บอนมอนออกไซด์ออกมา ในความเป็นจริง ปฏิกิริยาทั้ง 2 แบบ เกิดขึ้นพร้อมกัน ค่าออกซิเจนที่ต่ำจะยิ่งทำให้ เกิดคาร์บอนมอนออกไซด์เพิ่มขึ้น ปฏิกิริยาเคมีจะทำให้สารผลิตภัณฑ์ ที่ได้นั้นแตกต่างกันไป ถึงแม้ว่าเราจะใช้ตัวทำปฏิกิริยา ตัวเดียวกันในตอนแรกก็ตาม และในกรณีที่กล่าวมานี้ ที่ซึ่งคาร์บอน ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ความต่างที่เกิดขึ้นอาจส่งผล ถึงชีวิตก็เป็นได้