
ความเป็นมาของเศรษฐศาสตร์สวีเดน : ปี 1945 ถึง 1969

อัปเกรดสำหรับเนื้อหาเพิ่มเติม
จริงหรือเท็จ? สวีเดนเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่สอง
ในที่สุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็สิ้นสุดลงในปี 1945 ยุโรปส่วนใหญ่ตกอยู่ในซากปรักหักพัง เป็นเวลา 6 ปีที่ทรัพยากรเกือบทั้งหมด ถูกใช้ไปกับการทหาร ตอนนี้ได้เวลาบูรณะสิ่งที่ถูกทำลาย ขึ้นมาใหม่แล้ว และในที่สุด มันก็เป็นไปได้ที่จะซื้อ ของชิ้นใหม่ๆ และสร้างความบันเทิง อีกทั้งสามารถลงทุนในอนาคตได้อีกครั้ง สวีเดนเป็นกลางในช่วงเกิดสงคราม ดังนั้นอุตสาหกรรมของสวีเดน จึงไม่เกิดความเสียหาย ความต้องการจากยุโรปทำให้บริษัทสวีเดน มีโอกาสในการผลิตและขายสินค้า ทั้งยังเติบโตได้อย่างรวดเร็ว สวีเดนส่งออกวัตถุดิบ เช่น ไม้ซุง และเหล็ก ทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ที่กลั่นจากอุตสาหกรรม ในช่วงสงคราม น้อยคนนักที่จะเลือกมีลูก แต่ตอนนี้เมื่อสงครามสิ้นสุด จึงมีเด็กเกิดมากขึ้นด้วยความผาสุข ระหว่างปี 1945 ถึง 1950 เป็นยุคเบบี้บูม มีเด็กเกิดขึ้นมากมายกว่าที่เคยมีมา การพัฒนายังคงมีอยู่ต่อไป จำนวนคนที่ทำงานด้านเกษตร และทำประมงลดน้อยลงเรื่อยๆ และความสำคัญของอุตสาหกรรม ก็ได้เพิ่มขึ้นไปอีก ในสวีเดนนั้นมีอู่ต่อเรือที่ประสบ ความสำเร็จหลายแห่ง พวกเขาสร้างและซ่อมแซมเรือ ขนาดใหญ่มากมายที่นี่ ซึ่งมันจำเป็นต่อการขนส่งสินค้า ระหว่างทวีปต่างๆ อู่ต่อเรือสร้างโอกาสในการทำงาน ที่มีสัดส่วนสูง ใน อุดเดวัลล่า มาลเม่อ คอร์ลสโครน่า เยอเตบอย และเมืองอื่นๆอีกหลายแห่งตามแนวชายฝั่ง นอกจากอู่ต่อเรือแล้ว ทั้งยังมีบริษัทอุตสาหกรรมอีกมาก ที่มีพนักงานอยู่มากมาย SEA... LM Ericsson... Volvo... Saab... ... และ SKF มันเป็นช่วงปีที่ดีของเศรษฐกิจสวีเดน และยังดีขึ้นไปอีกในแต่ละปี และชีวิตของชาวสวีเดนก็ร่ำรวยขึ้น ปลอดภัยขึ้น และสะดวกสบายยิ่งขึ้น พรรคสังคมประชาธิปไตยเป็นผู้นำรัฐบาล ทั้งเป็นด้วยตัวเองหรือเป็นพันธมิตร กับพรรคอื่นๆ ตลอดระยะเวลาดังกล่าว นายกรัฐมนตรีในตอนนั้น ก็คือ ทอเก่ เอียลันเดอร์ นโยบายของพวกเขาจะเน้นไปที่การปฏิรูป คือมีวันหยุดพักผ่อนที่นานขึ้น และเพิ่มความคุ้มครองสำหรับสิทธิของแรงงาน เงินบำนาญที่มากขึ้น มีสถานที่สำหรับเลี้ยงเด็กเล็ก และเพิ่มโรงเรียนสำหรับเด็กโต รัฐได้เข้ามามีส่วนกับวิถีชีวิต ของผู้คนมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือและสร้างผลกระทบ ต่อวิถีชีวิต ที่รัฐเห็นว่าจะได้ประโยชน์ พื้นฐานร่วมกัน สวีเดนกลายเป็นรัฐสวัสดิการ บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่อดีตหัวหน้าพรรค สังคมประชาธิปไตย แพร์ อัลบิน ฮันซอน เคยพูดเอาไว้ เมื่อย้อนไปในปี 1928 เขาได้พูดถึงโฟล์คเฮ็มเม็ท (Folkhemmet) หรือ บ้านมวลชน มีหลายเหตุผลว่าทำไมสวีเดน ถึงไปได้สวยในช่วงเวลานี้ มันไม่ใช่เพียงอุปสงค์ที่สูงของประเทศ ในยุโรปในช่วงหลังสงคราม แต่สวีเดนยังได้ประโยชน์ จากการค้าเสรีเพิ่มมากขึ้น นั่นคือการลดภาษีศุลกากร และข้อจำกัดอื่นๆสำหรับ การนำเข้าและส่งออกสินค้า ระดับรายได้ในเศรษฐกิจ ของสวีเดนนั้นมีเสถียรภาพ ต้องขอบคุณข้อตกลงซัลท์เชอบอด (Saltsjöbaden) ที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างนายจ้าง และลูกจ้างมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สวีเดนได้ยังประโยชน์จากการที่ ประชากรเกิดขึ้นมา ตามหลักประชากรศาสตร์ เมื่อเด็กจำนวนมาก ที่เกิดมา หลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จบการศึกษาแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ ก็จะอยู่ในช่วงวัยทำงาน ในสวีเดนมีเด็กและผู้สูงอายุในจำนวน เล็กน้อยอย่างเหมาะสม คนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่ต้องได้รับการ ดูแลด้วยเงินที่ได้มาจากภาษี นอกจากสวีเดนแล้ว ประเทศอย่างฟินแลนด์ ก็เป็น 1 ในประเทศแรกๆ ที่ผู้หญิง เข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นจำนวนมาก มันนำไปสู่การที่ประชากรจำนวนมาก เป็นผู้ที่ถูกว่าจ้าง นั่นคือพวกเขามีงานทำ มีรายได้และจ่ายภาษี เศรษฐกิจสวีเดนจึงดำเนินไป ด้วยดีในตอนนี้ แต่สวีเดนยังมีกำลังคนไม่เพียงพอ สวีเดนจึงดึงเอาประชากร จากอิตาลี กรีซ ฟินแลนด์ ยูโกสลาเวีย ตุรกี มาเป็นกำลังหลักในอุตสาหกรรม สวีเดนจึงเปลี่ยนจากประเทศที่คนอพยพออก เป็นประเทศที่คนอพยพเข้า ช่วงปีที่นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง จนสิ้นสุดทศวรรษที่ 1960 ถูกเรียกว่าปีที่ถูกบันทึก ในช่วงปีที่ถูกบันทึกนี้ เศรษฐกิจ สวีเดนได้เติบโตไปอย่างรวดเร็ว และตอนนี้สวีเดนก็ได้กลายเป็น ประเทศที่ร่ำรวย รวมทั้งมีมาตรฐานการครองชีพ ที่สูงที่สุดในโลก จนหลายประเทศเกิดแรงบันดาลใจ จากการเมืองสวีเดน และเริ่มมีการอภิปรายถึง โมเดลแบบสวีเดน