
ศิลปะแบบโรแมนติก

อัปเกรดสำหรับเนื้อหาเพิ่มเติม
ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถึงยุคโรแมนติกบ้าง?
คิดว่าตัวเองจะรู้สึกยังไงเมื่อพูดถึง คำว่าโรแมนติก? ก็อาจนึกถึงความรัก อารมณ์ ความสุข และความริษยาล่ะมั้ง? ถูกต้องเลย เพราะมันเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ เลย เราแบ่งประวัติศาสตร์ออกเป็น ช่วง หรือยุคต่างๆ เพื่อให้พวกเราแยกแยะและเข้าใจ พัฒนาการของพวกเราได้ดีขึ้น เหมือนกับในหนังสือที่แบ่งเป็นบทๆ โดยคำว่าโรแมนติกก็เป็น 1 ในบทเหล่านั้น ยุคโรแมนติกเริ่มตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 จนถึงกลางศตวรรษที่ 19 แต่ทำไมเราถึงเรียกมันว่ายุคโรแมนติกล่ะ โรแมนติกเป็นคำที่มาจากภาษาฝรั่งเศสเก่า คือคำว่า 'Romanz' หมายถึงเรื่องราวที่เขียนด้วยภาษา ที่เรียบง่าย นักโรแมนติกนิยมยึดถือ ศิลปะนิยมและวรรณคดีเป็นอย่างสูง พวกเขาคิดว่าตัวเองใกล้ชิดกับธรรมชาติ และความเป็นจริงมากขึ้น นักโรแมนติกนิยมมักจะคิดถึงดินแดน อันห่างไกลและไม่มีคนรู้จักหรือ : exotic แต่ทำไมการเน้นย้ำความรู้สึก ของมนุษย์ในยุคนี้จึงสำคัญนักล่ะ? เพราะยุคโรแมนติกเป็นยุคที่ เคลื่อนไหวประท้วง เพื่อต่อต้านยุคก่อนหน้าคือ "ยุคเรืองปัญญา" ในยุคเรืองปัญญา ผู้คนต้องการ คำอธิบายและเข้าใจโลก พวกเขาใช้เหตุผลเพื่อคิดค้น และค้นพบสิ่งต่างๆ อีกทั้งยังเรียนรู้กลไกของธรรมชาติ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มเบื่อ การเป็นผู้ศึกษาและมีปัญญา อีกทั้งยังเบื่อที่ต้องหาคำอธิบาย ทุกอย่างแบบมีเหตุผลเสมอ ความต้องการปล่อยวางและอยาก ทำอะไรแบบไร้เหตุผลบ้างจึงเกิดขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อประสบการณ์และความรู้สึก ในไม่นานการจินตนาการและประสบการณ์ภายใน จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญกว่า และผู้คนก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย อะไรที่เหมือนกัน เช่น เรื่องทัศนคติที่มีต่อธรรมชาติ คนในยุคโรแมนติกคิดว่า ธรรมชาติเป็นเรื่องลึกลับ และพวกเขาไม่จำเป็นต้องอธิบาย หรือเปิดเผยความลับของธรรมชาติ ในแบบเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์ ในยุคเรืองปัญญาต้องทำ แต่พวกเขาต้องการสัมผัสธรรมชาติ ความลึกลับของมันแทน นักโรแมนติกนิยมมองว่ามนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างสรรค์ และเป็นศิลปินผู้มีพรสวรรค์ ที่มีความอัจฉริยะ การบูชาอัจฉริยภาพและ ธรรมชาติของความรัก ผสมผสานกับความเร่าร้อนของ กิเลสตันหายังเป็นการเริ่มต้น ของขบวนการโรแมนติกของเยอรมัน คือ "Sturm und Drang" หรือ"พายุและความเครียด"ซึ่งนักเขียนหนุ่ม ได้เขียนเกี่ยวกับความรู้สึกอันแข็งแกร่ง หนึ่งในนักเขียนคนสำคัญก็คือ Johan Wolfgang von Goethe ผู้เขียนเรื่อง "ความโศกเศร้าของ Werther ผู้อ่อนเยาว์" คนจนอย่าง Werther นั้นทนทุกข์จริงๆ เขาหลงรัก Lotte แต่เนื่องจากเธอมีคู่หมั้นแล้ว เขาจึงเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลง บทกวีได้กลายเป็นที่นิยม และคนในยุคโรแมนติกต่างก็เป็นทั้ง ผู้เขียนและผู้อ่านบทกวีกันทั้งนั้น บทกวีเหล่านั้นบรรยายถึงธรรมชาติ ว่ามีชีวิตชีวาอย่างไร การเขียนเรื่องสยองขวัญก็ กลายมาเป็นแฟชั่นชั้นสูงเช่นกัน หนึ่งในเรื่องที่ดังมากก็คือเรื่องของ สัตว์ประหลาดที่ชื่อแฟรงเกนสไตน์ ที่เขียนโดยแมร์รี่ เชลลีย์ มันเป็นเรื่องของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง คือ ดร.แฟรงเกนสไตน์ ผู้ซึ่งอยากจะสร้างมนุษย์คนหนึ่ง ขึ้นมาให้มีชีวิต จากชิ้นส่วนของคนที่ตายไปแล้ว มนุษย์ที่ ดร.แฟรงเกนสไตน์สร้าง มีขนาดใหญ่ น่าเกลียด และน่ากลัว คนที่เห็นล้วนหวาดกลัวและ ปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นอสูรกาย การถูกทอดทิ้ง การตามล่า และความฉงนใจ ทำให้เจ้าอสูรกายหันกลับไปหาคนที่ สร้างตัวเองขึ้นมา และหาทางแก้แค้น ดร.แฟรงเกนสไตน์ เรื่องที่แมร์รี่ เชลลีย์เขียน นับเป็นการวิพากย์อย่างหนึ่ง ของแนวคิดในยุคเรืองปัญญา นักวิทยาศาสตร์ต้องการสร้างมนุษย์ขึ้นมา แต่มันกลายเป็นอสูรกายและกลับมา แก้แค้นคนที่สร้างมันแทน ดังนั้นการมองมนุษย์เป็นเครื่องจักร ก็อาจนำไปสู่อันตราย นักโรแมนติกนิยมมีความเชื่อมั่นว่า สังคมจะดีขึ้น ถ้าทุกคนกล้าที่จะใช้อารมณ์ และแสดงออกดีขึ้นกับผู้คนแวดล้อม ความคิดของพวกเขาก็คือ สังคมจะพัฒนาได้ ด้วยการช่วยเหลือจากพลังทางอารมณ์ คิดอย่างไรกันบ้าง? เราต้องการความรู้สึกมากกว่านี้ไหม หรือปัญญาที่มากขึ้นรวมทั้งคำอธิบาย เพื่อทำให้โลกในวันนี้ของเรา พัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิม?