
ภาษาชนกลุ่มน้อยของชนชาติสวีเดน : ภาษาฟินนิช

อัปเกรดสำหรับเนื้อหาเพิ่มเติม
King Gustav Vasa made a decision that affected the Finns role in Sweden. Which?
ภาษาฟินน์เป็น 1 ในภาษา ชนกลุ่มน้อยแห่งชาติสวีเดน แล้วทำไมคนที่มีถิ่นกำนิดในฟินแลนด์ จึงมีมากมายในประเทศสวีเดนล่ะ? พวกเขามาที่นี่ได้ยังไงนะ? อืม ฟินแลนด์ไม่ใช่ประเทศที่ ปกครองตัวเองได้ตลอดหรอกนะ ฟินแลนด์เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ในยุคกลาง จนถึงปี 1809 จากนั้นฟินแลนด์จึงตกไปเป็นของรัสเซียแทน เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อปลาย ศตวรรษที่16 แม้ว่าสวีเดนและฟินแลนด์ จะเป็นประเทศเดียวกันในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวฟินน์ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในฟินแลนด์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออก และชาวสวีเดนก็จะอยู่ในสวีเดนซึ่งอยู่ ทางทิศตะวันตก กษัตริย์แห่งสวีเดนองค์นี้ คือกุสตาฟ วอซ่า สังเกตว่าป่าสนสวีเดนในแคว้นแวร์มลันด์และ ดอลาร์น่า มีอยู่หนาแน่นเกินไป จะเป็นการดีกว่าหากได้ใช้ประโยชน์ จากที่ดินใต้ผืนป่ามาทำการเพาะปลูก กษัตริย์ตัดสินว่าจะอนุญาตให้ มีคนย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ หากพวกเขาทำให้ผืนดินในป่ากลายเป็น พื้นที่เพาะปลูก และนี่คือหนึ่งในลูกชายของกุสตาฟ วอซ่า ดยุกแห่งชาร์ล ที่ตอนท้ายได้กลายมาเป็น กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 9 แต่ขณะนั้นเขาคือดยุกในแคว้นต่างๆ เช่น แวร์มลันด์ เขาต้องการให้มีประชากรเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้เก็บภาษีได้มากขึ้น การดึงดูให้ผู้คนย้ายมาที่นี้ เขาจึงสัญญาว่าชาวฟินน์ที่ทำงานในป่า จะไม่ต้องจ่ายภาษีในปีแรก นี่เป็นคลื่นอพยพลูกแรกของชาวฟินน์ ที่อพยพไปทางตะวันตก พวกเขาตัดป่าไม้ และเผาดินเพื่อเพิ่มคุณค่า สารอาหารให้มากขึ้น และเหมาะสำหรับใช้ทำการเกษตร เทคนิคการเผาป่าป่านี้ เรียกว่า การถางแล้วเผา นั่นเป็นเหตุผลที่ชาวฟินน์ที่มาที่นี่ ถูกเรียกว่าชาวฟินน์จอมถาง หรือชาวฟินน์ป่า ที่ Savolax ในฟินแลนด์ คนที่นั่นชำนาญเรื่องการถางป่าแล้วเผา เป็นพิเศษ ชาวฟินน์จำนวนมากอพยพมาจากภูมิภาคนี้ และนำภาษาถิ่น Savolax ของตัวเองมาด้วย เนื่องจากชาวฟินน์ป่าอาศัยอยู่ อย่างโดดเดี่ยวในป่า ส่วนใหญ่พวกเขาจะออกไปพบปะสังสรรค์ และแต่งงานกับชาวฟินน์ป่าคนอื่นๆ นั่นเป็นเหตุผลที่วัฒนธรรม และภาษาของพวกเขา ไม่เปลี่ยนไปมากนักในเวลาหลายร้อยปี วัฒนธรรมของพวกเขาเต็มไปด้วยความเชื่อ ในเวทมนตร์และพลังธรรมชาติ แม้จะเป็นคริสเตียน แต่พวกเขาก็อธิษฐาน ต่ออุ๊คโก้ เทพเจ้าแห่งสายฟ้า โดยใช้บทสวดและคาถาต่างๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งของในชีวิตประจำวัน คำเหล่านี้ยังคงวนเวียนอยู่ในภาษา ของพวกเขา แต่ในปี 1842 มีกฎหมายใหม่เกิดขึ้นมา กฎหมายเรื่องโรงเรียนของสวีเดน เด็กทุกคนต้องไปโรงเรียน และเรียนภาษาสวีเดน ลูกๆ ของชาวฟินน์ป่าก็ด้วย ทั้งครูยังสั่งไม่ให้ผู้ปกครองพูด ภาษาฟินน์ที่บ้าน พวกครูต่างเชื่อว่าเด็กจะเรียนรู้ ภาษาสวีเดนได้ง่ายขึ้น ในช่วงศตวรรษที่ 20 ชาวฟินน์ออกจากบ้าน และผสมผสานกับสังคมสวีเดนมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กๆไม่ได้เรียนรู้ภาษาฟินน์ที่บ้าน เข่นเคย ส่วนใหญ่กลายเป็นเด็กสองภาษา แต่พวกเขาก็ยังคงรักษาธรรมเนียมต่างๆไว้ ในศตวรรษที่ 20 คลื่นลูกที่สองของผู้อพยพชาวฟินแลนด์ ได้มาถึงสวีเดน นี่คือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939-1945 ตอนนี้เด็กฟินแลนด์กว่า 70,000 คน ถูกส่งไปที่สวีเดน เพื่อหนีจากสงครามในฟินแลนด์ พวกเขามาที่นี้โดยไม่มีพ่อแม่มาด้วย และต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ ประมาณ 7,000 คนยังอยู่ที่นั่นต่อ หลังจากสงครามจบลง แต่ชาวฟินน์กลุ่มที่ใหญ่ที่สุด ได้มาถึงสวีเดน ในช่วงปี 1950 - 1970 ขณะนั้นสวีเดนต้องการแรงงาน อุตสาหกรรมต่างๆกำลังเติบโตอย่างเต็มที่ และชาวสวีเดนก็มีไม่พอ ในขณะเดียวกันชาวฟินแลนด์ก็ยากจนลง หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 การหางานที่นั่นจึงยาก ในปี 1954 ประเทศในยุโรปเหนือจัดตั้งสหภาพ ขึ้น เพื่อให้พลเมืองในแถบนอร์ดิกสามารถเดินทาง ระหว่างประเทศโดยไม่ต้องใช้หนังสือเดินทาง ชาวฟินน์หลายคนจึงถือโอกาสนั้น ข้ามชายแดนมายังสวีเดนเพื่อหางานทำ ส่วนใหญ่ได้งานทำในเมืองโกเธนเบิร์ก หรือสตอกโฮล์ม ดังนั้นจึงไม่ค่อยแปลก ที่มีคนมากถึง 300,000 คน พูดภาษาฟินน์อยู่ในสวีเดนมาจนถึงวันนี้