
ภาษาชนกลุ่มน้อยของชนชาติสวีเดน : จากศตวรรษที่ 17 จนถึงยุคปัจจุบัน

อัปเกรดสำหรับเนื้อหาเพิ่มเติม
True or false? The scientists in The State Institute for Racial Biology measured the Sami's heads.
นานมากแล้วที่ชาวซามิเป็นชนเผ่า เดียวในดินแดนซัพมิ แต่ในศตวรรษที่ 17 รัฐบาลสวีเดนคิดว่าถึงเวลาที่จะ ใช้ประโยชน์จากที่ดินบริเวณนี้ให้มากขึ้น เกษตรกรควรย้ายมาอยู่ที่นี้ อีกทั้งรัฐยังคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะ เปลี่ยนชาวซามิให้เป็นชาวคริสต์ แต่มันเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจาก มันไม่ใช่สิ่งที่ชาวซามิต้องการ ดังนั้น รัฐจึงบีบบังคับให้ชาวซามิทุกคน ให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ กลอง Noaidi ถูกรวบรวมแล้วเอามาเผา Seidis ถูกทำลายลง ชาวซามิทุกคนที่ต่อต้าน จะถูกเฆี่ยนด้วยแส้ ในศตวรรษที่ 18 เส้นแบ่งพรมแดน ถูกขีดเส้นขึ้นที่นี่อย่างฉับพลัน ผ่านดินแดนซัพมิ ทั้งสวีเดนและนอร์เวย์ จึงมีพรมแดนใหม่เกิดขึ้น ทุ่งเลี้ยงกวางเรนเดียร์ในฤดูร้อน จึงตั้งอยู่ในเขตของประเทศหนึ่ง ในขณะที่ฤดูหนาวอยู่อีกประเทศหนึ่ง สวีเดนและนอร์เวย์จึงเขียน สัญญาเรื่องนี้ขึ้นมา ชาวซามิได้รับสิทธิ์ในการเดินทาง ข้ามพรมแดนอย่างอิสระ เพื่อให้กวางเรนเดียร์ได้กินหญ้า สัญญานี้เรียกว่า Lapp Codicil แต่ข้อตกลงนี้อยู่ได้ไม่นาน นอร์เวย์ก็เปลี่ยนใจ และในศตวรรษที่ 19 ชายแดนก็กำลังเปลี่ยนไปอีก สวีเดนสูญเสียฟินแลนด์ให้กับรัสเซีย นอร์เวย์กลายมาเป็นของสวีเดน แล้วก็กลับมาเป็นของนอร์เวย์อีกครั้ง แต่พรมแดนถูกปิดตายสำหรับชาวซามิ ดินแดนซัพมิที่อยู่ในเขตของสวีเดน แออัดไปด้วยคนมากมาย รัฐบาลบีบให้ชาวซามิหลายคน ย้ายลงไปทางใต้ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มันกลายเป็นแฟชั่นในยุโรป ในการพูดคุยเรื่องต้นกำเนิดทางชีวภาพ ของผู้คนที่ต่างกัน หลายคนเชื่อว่ามนุษย์นั้น แบ่งออกเป็นเผ่าพันธุ์ต่างๆ เหมือนสายพันธุ์ของสุนัข มีการก่อตั้งสถาบันวิจัยแนวคิดพวกนี้ ขึ้นในสวีเดน สถาบันวิจัยชีววิทยาทางเชื้อชาติแห่งรัฐ นักวิทยาศาสตร์ที่นี่เชื่อว่า มีเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน และบางเผ่าพันธุ์ก็ฉลาดกว่าเผ่าพันธุ์อื่น เผ่าพันธุ์เหล่านี้จึงไม่ควรปะปนกัน และเราศึกษาสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับ เรื่องของเผ่าพันธุ์ โดยการวัดศรีษะ และนี่คือสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขาวัดขนาดศรีษะของชาวซามิ และอ้างว่าพวกเขาไม่เหมาะกับงานบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงควรอยู่กับ ฝูงกวางเรนเดียร์ต่อไป ความคิดเหล่านี้ส่งผลต่อการเข้าเรียน ของชาวซามิด้วย ชาวซามิที่อยู่เป็นหลักแหล่งได้เข้า เรียนโรงเรียนทั่วไป ในขณะที่เด็กชาวซามิที่เร่ร่อน กลับได้เข้าโรงเรียนพิเศษ โรงเรียนเร่ร่อน หรือ โรงเรียนโคตะ (Kåta) รัฐบาลคิดว่าไม่มีเหตุ ที่ต้องให้พวกเขาเรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตปกติ เพราะอย่างไรก็ไม่เหมาะกับพวกเขา แม้พวกเขาจะได้เข้าโรงเรียน แต่ก็ไม่ได้เรียนภาษาซามิ มีเพียงภาษาสวีเดนเท่านั้น แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แนวคิดด้านชีววิทยาทางเชื้อชาติ ก็ล้าสมัยไปในท้ายที่สุด ในปี 1950 โรงเรียนเร่ร่อนได้กลายเป็น โรงเรียนทั่วไปมากขึ้น ในปี 1960 พวกเขาเหล่านั้นได้กลายเป็น อาสาสมัครให้กับเด็กๆชาวซามิทุกคน และตอนนี้พวกเขาก็ได้รับโอกาสใน การเรียนภาษาซามิในท้ายที่สุด จริงๆแล้วภาษาซามิเป็นภาษาแบบไหนกันนะ? ลองดูพื้นที่ดินแดนซัพมิสิ ช่างกว้างใหญ่จริงๆ กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างในเขตสวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์และ คาบสมุทรโคลาในรัสเซีย เนื่องจากขนาดที่ใหญ่และภาษาก็เก่ามาก พัฒนาการของภาษาซามิ จึง ไม่เหมือนกันในแต่ละที่ ชาวซามิในคาบสมุทรโคลา และชาวซามิในอูเหมี่ยว จึงไม่สามารถเข้าใจกันได้ แต่ภาษาของพวกเขาก็มี ความคล้ายคลึงกันมาก เราจึงเรียกว่าภาษาถิ่น แทนที่จะเรียกว่าภาษา ภาษาซามิมีภาษาถิ่นหลักๆอยู่ 3 ภาษา คือภาษาซามิตะวันออก ภาษาซามิกลาง และภาษาฃามิใต้ ในสวีเดนมีคนพูดภาษาซามิถิ่นต่างๆ อยู่ราว 7,000 คน ซามิเป็นภาษาในตระกูลยูราลิก สาขาภาษาฟินโน-ยูกริก สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง ไวยากรณ์ในภาษาซามิกับภาษาสวีเดน เมื่อมีการเพิ่มคำต่อท้ายที่ต่างกัน จะทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไป ไม่แยกคำสรรพนามระหว่างเพศหญิงกับเพศชาย คำกริยามีการผันที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังพูดถึงคนๆ เดียว 2 คนหรือมากกว่า 2 คนขึ้นไป ในปี 1993 รัฐบาลได้ตัดสินใจ จัดตั้งรัฐสภาซามิ หรือ Sametinget (ซอเมทิงเง็ต) รัฐสภาซามิจะทำภาระกิจเกี่ยวกับ สิทธิของชาวซามิ รวมทั้งการอนุรักษ์และการพัฒนา วัฒนธรรมซามิ เมื่อพูดถึงสิทธิของพวกเขา แล้วสิทธิเรื่องการเลี้ยงกวางเรนเดียร์ ข้ามพรมแดนล่ะ? ตั้งแต่ปี 2005 สัญญา Lapp Codicil ก็ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง ตอนนี้ชาวซามิก็สามารถข้ามพรมแดนได้ เหมือนเดิมแล้ว และเหมือนทุกวันนี้พวกเขาจะข้ามไปข้ามมา บ่อยกว่าที่เคยด้วยสิ